บทความ และข้อมูลต่างๆ ที่นำเสนออยู่บนบล็อกแห่งนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน
ข้อมูล เนื้อหาบางส่วนอาจมีการอ้างอิงมาจากที่ต่างๆ ผู้อ่าน โปรด..จง..ใช้..วิจารณญาณในการชม

ขอความสุข...คืนกลับมา

ป๋าเปรม จากอดีตสู่ปัจจุบัน





ผมว่า “ผู้ยิ่งใหญ่” ที่ “มากบารมียิ่ง” แบบ “ตัวจริง-เสียงจริง” ในแวดวงการเมืองไทย นาทีนี้ ทอดสายตาไปทั่วแผ่นดิน ยังมิเห็น (สามัญชน) มีผู้ใดเกิน “ป๋าเปรม-พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” ประธานองคมนตรี คนที่กำลังถูกพวกม็อบสนามหลวงบางส่วน “ทะลึ่ง” จะไปถอดถอนท่านออกจากตำแหน่งนั่นแหละครับ

“ป๋าเปรม” เป็นคนสงขลา เกิดเมื่อปี พ.ศ.2463 วันที่ 26 สิงหาคม ปีนี้ ป๋าจะมีอายุครบ 87 ปี ก็อีก 13 ปี อายุป๋าจะครบร้อยแล้วครับ ฐานะตำแหน่งของป๋าในปัจจุบัน คือ “รัฐบุรุษ” แต่ที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น คือ “ประธานองคมนตรี” คือ..ป๋าเป็นหัวหน้าคณะที่ปรึกษาใหญ่ในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มีหน้าที่ถวายคำแนะนำแก่พระองค์ท่านฯ ในทุกกิจการเพื่อความก้าวหน้า สันติสุข และเพื่อความสงบร่มเย็นของชาติบ้านเมืองของเรา

ส่วนตำแหน่งแบบไม่เป็นทางการ ที่เคยมีผู้ยิ่งใหญ่ในทำเนียบรัฐบาลสมัยที่แล้วบรรจงตั้งให้ คือ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ครับ

ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของป๋า เริ่มตั้งแต่สมัยที่ยังรับราชการทหาร ตั้งแต่เป็น “ผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า” กระทั่งเป็น “แม่ทัพภาคที่ 2” ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน และก้าวขึ้นเป็น “ผู้บัญชาการทหารบก” ในปี 2521 ควบคู่ไปกับการเป็น “รมต.กลาโหม” ในเวลาต่อมา

“ป๋าเปรม” ถือเป็นต้นตำรับ “ประชาธิปไตยครึ่งใบ” หรือ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” ในยุคหลังปี 2520

ภายหลังจากที่ นายกฯแกงเขียวหวานบรั่นดี “พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เมื่อ 29 กพ.2523 เสียงส่วนใหญ่ของมวลหมู่สมาชิกในสภาฯ ก็พร้อมใจกันดันให้ “ป๋า” ขึ้นไปนั่งเก้าอี้นายกฯคนใหม่ เป็นนายกฯ คนที่ 16 ของเมืองไทย

และเป็นนายกฯที่ส่งตรงมาจาก “กองทัพ” หรือจะว่ามาจาก “คนนอก” ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้มาจาก ส.ส. คือ..ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน จะเรียกสั้นๆ ให้ดูน่ากลัวหน่อยก็ต้องบอกว่า..”ไม่ได้มาจากประชาชน” แต่ก็มาจากเสียงสนับสนุนในสภา ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน

ฟังดูแล้วออกจะงงๆ แต่ก็นั่นแหละ คือ..อีกตัวอย่างของระบอบ ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ ไงครับ

แต่กระนั้นก็เถอะ ป๋าก็ยังนั่งเป็นนายกฯ อยู่ได้อย่างยาวนานถึง 5 สมัย รวมระยะเวลา 8 ปี กับอีก 6 เดือน

แม้จะมีความพยายามก่อการรัฐประหาร อย่างน้อย 2 ครั้ง ในสมัยรัฐบาลป๋า โดยคณะนายทหารหนุ่ม “ยังเติร์ก”จากรุ่น จปร.7 นำโดย พ.อ.มนูญ รูปขจร ,พ.อ.พัลลภ ปิ่นมณี และ พ.อ.ประจักษ์ สว่างจิต ฯลฯ แต่ป๋าก็ปราบซะอยู่หมัด พวกทหารยังเติร์กเป็นได้แค่กบฏ ต้องโทษประหารชีวิต เดชะบุญที่ได้รับการนิรโทษกรรมในเวลาต่อมา

ด้วยป๋าเป็นคนประเภทพูดน้อยต่อยหนัก ในสมัยที่ป๋าเป็นนายกฯ เวลานักข่าวไปสัมภาษณ์ ป๋าก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ ประมาณว่า ถามคำ ตอบคำ บางทีนักข่าวถามไป 4-5 คำ ป๋าไม่ตอบซักคำเลยก็มี ได้แต่บอกว่า “กลับบ้านเถอะลูก..” หนักเข้า ๆ บรรดานักข่าว ก็เลยตั้งฉายาให้ป๋า ว่าเป็น “เตมีย์ใบ้” !!

ในช่วงปลายชีวิตบนเก้าอี้นายกฯ ป๋าก็ได้เอ่ยวาจาที่โด่งดัง เป็นอีกคำพูดที่ได้รับการจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย คือ “ผมพอแล้ว..”

ที่มาของคำนี้ ต้องย้อนความไปเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2531 ป๋าประกาศยุบสภาฯ เพราะปัญหาการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล คือ..ปัญหา “กลุ่ม 10 มกรา” ในพรรคประชาธิปัตย์ (นายวีระ มุสิกพงศ์ เป็น 1 ในหัวหอกกลุ่ม 10 มกราตอนนั้น-ตอนนี้ เป็นแกนนำม็อบพีทีวี-แต่เดิม เคยได้ชื่อว่าเป็นลูกป๋า แต่ตอนนี้ ยืนอยู่ข้างคนขับไล่ป๋า) ที่แก่งแย่งเก้าอี้ และอำนาจกันในขณะนั้น จนรัฐบาลไปไม่รอด และต้องประกาศยุบสภา เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่ในที่สุด

หลังการเลือกตั้งใหญ่ในปีนั้น คือ การเลือกตั้งเมื่อ 24 กค.2531 พรรคชาติไทย ได้เสียงข้างมาก เข้าวินมาเป็นที่ 1 ในสภา แต่ลองซาวเสียงกันดูแล้ว พรรคการเมืองที่ได้เสียง ส.ส.เข้าสภาส่วนใหญ่ ยังเห็นควรให้ป๋าเป็นนายกฯต่อไปอีก 1 สมัย แต่ป๋ากลับปฏิเสธ โดยพูดตอบกลับเบา ๆ ตามสไตล์ ว่า “ผมพอแล้ว”

ส่งผลให้หัวหน้าพรรคชาติไทยในขณะนั้น คือ พล.อ.ชาติชาย ชุณหวัณ เจ้าของฉายา “น้าชาติ มาดนักซิ่ง” และ “ปลาไหลใส่สเก็ต” ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 17 ของประเทศไทย

เมื่อป๋าพ้นจากตำแหน่งนายกฯ คนทั่วไป มักจะได้ยินได้ฟังข่าวป๋า ในฐานะ “ผู้ใหญ่” ที่ให้ความ “เอ็นดู” นักมวยมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่า สมัยนั้น นักมวยคนไหน จะขึ้นเวทีชกมวยชิงแชมป์ หรือจะป้องกันแชมป์อะไร ก็ตามที เป็นประเพณีอย่างหนึ่งว่า..ต้องไปกราบขอพรป๋าเปรม

และไม่ว่าจะแพ้มา หรือชนะ-ได้เข็มขัดแชมป์เปี้ยนกลับมา ป๋าก็จะถามด้วยความเป็นห่วงเป็นไย และด้วยความเอ็นดูยิ่งว่า...”เจ็บมั้ยลูก” จนคำๆนี้ กลายเป็นคำ ที่มีผู้คนนิยมเอามาพูดแซวเล่นกันบ่อยๆ ในเวลาที่ต้องการจะเอ็นดูใคร

เวลาผ่านเนิ่นนานมาเกือบ 20 ปี แม้ว่าป๋าจะไม่ได้เป็นนายกฯแล้วก็ตาม แต่ชื่อเสียง และบารมีของป๋า ก็ยังมีอย่างล้นเหลือ กระทั่ง หลังสุด ในการรัฐประหาร 19 กันยา 2549 ก็ยังมีหลายคนเชื่อว่า..ป๋า คือ ผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร

หรือถ้าจะพูดให้แรงหน่อย ก็ต้องว่า ป๋า นี่แหละ คือ “จอมบงการ” ตัวจริง !

โดยเฉพาะพวกม็อบสนามหลวง ที่มีเครือข่ายที่ใช้ชื่อว่า “กลุ่มคนวันเสาร์ ไม่เอาเผด็จการ” กลุ่มนี้ เชื่อว่า..ป๋า คือ “มาสเตอร์ไมน์” คือ “จอมบงการ” จึงพากันไปยื่นหนังสือเรียกร้องให้ป๋าพิจารณาตัวเอง ลาออกจากตำแหน่งประธานองคมนตรี ภายใน 7 วัน !

และชื่อป๋า ก็ตกเป็นเป้าใหญ่ เป็นประเด็นดังที่จอมไฮปาร์กที่สนามหลวง และแกนนำม็อบพีทีวี มักนำไปพูดปราศรัยด่าทออยู่ทุกครั้งที่เปิดเวทีไฮปาร์คกัน

เมื่อนักข่าวไปถามป๋า ป๋า ก็ยังคงพูดน้อย สงบนิ่ง เหมือนสมัยที่ยังเป็นนายกฯเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ไม่มีผิด ป๋าใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว โดยพูดตอบนักข่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แค่เพียงว่า..”ไม่เป็นไร..ไม่เป็นไร”

กลายเป็นคำที่สะท้อนบุคลิก และตัวตนของป๋าได้เป็นอย่างดีอีกคำหนึ่งในท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังร้อนระอุดุเดือด นอกเหนือจากคำดังในอดีต อย่าง "กลับบ้านเถอะลูก" ,"ผมพอแล้ว" และ "เจ็บมั้ยลูก”

ถ้าจะให้เข้ากับยุคสมัยหน่อย ตอนนี้..เห็นทีป๋าต้องบอกว่า (โดนด่า ก็..) “ไม่เป็นไร” (ขอให้ทักษิณ) "กลับบ้านเถอะลูก" (ที่ถูกคดีอายัดทรัพย์นับหลายหมื่นล้าน และกำลังถูกออกหมายจับเป็นผู้ร้ายข้ามแดนน่ะ) "เจ็บมั้ยลูก"

ที่มา krisana OkNation